อาทิตตปริยายสูตร — สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔

มหาวรรค ภาค ๑

เรื่องชฎิล ๓ พี่น้อง

{ไปที่อทิตตปริยายสูตรเลย}

[๓๗] ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงตำบลอุรุเวลาแล้ว ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิล ๓ คน คือ อุรุเวลกัสสป ๑ นทีกัสสป ๑ คยากัสสป ๑ อาศัยอยู่ในตำบลอุรุเวลา บรรดาชฎิล ๓ คนนั้น ชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสป เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๕๐๐ คน ชฎิลชื่อนทีกัสสป เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๓๐๐ คน ชฎิลชื่อคยากัสสป เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน ของชฎิล ๒๐๐ คน

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไปสู่อาศรมของชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสป แล้วได้ตรัสกะชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสปว่า “ดูกร กัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง”

ท่านอุรุเวลกัสสป “ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก”

แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแก่ชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสปว่า “ดูกร กัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง”

ท่านอุรุเวลกัสสป “ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก”

แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแก่ชฎิลชื่ออุรุเวลกัสสปว่า “ดูกร กัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง”

ท่านอุรุเวลกัสสป “ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก”

พระผู้มีพระภาค “ลางที พญานาคจะไม่ทำให้เราลำบาก ดูกร กัสสป เอาเถิด ขอท่านจงอนุญาตโรงบูชาเพลิง”

ท่านอุรุเวลกัสสป “ข้าแต่มหาสมณะ เชิญท่านอยู่ตามสบายเถิด”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่โรงบูชาเพลิง แล้วทรงปูหญ้า เครื่องลาด ประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่น

ปาฏิหาริย์ที่ ๑

[๓๘] ครั้งนั้น พญานาคนั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปดังนั้น ครั้นแล้วมีความขึ้งเคียดไม่พอใจ จึงบังหวนควันขึ้น ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า “ไฉนหนอ เราพึงครอบงำเดชของพญานาคนี้ด้วยเดชของตน ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูก” ดังนี้ แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารเช่นนั้น ทรงบังหวนควันแล้ว

พญานาคนั้นทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงเข้ากสิณสมาบัติ มีเตโชธาตุเป็นอารมณ์ บันดาลไฟต้านทานไว้ เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้น โรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิง ดุจไฟลุกไหม้ทั่วไป จึงชฎิลพวกนั้นพากันล้อมโรงบูชาเพลิง แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า “ชาวเรา พระมหาสมณะรูปงามคงถูกพญานาคเบียดเบียนแน่”

ต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงครอบงำเดชของพญานาคนั้นด้วยเดชของพระองค์ ไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูก ทรงขดพญานาคไว้ในบาตร โดยผ่านราตรีนั้นแล้ว ทรงแสดงแก่ชฎิลอุรุเวลกัสสป ด้วยพระพุทธดำรัสว่า “ดูกร กัสสป นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว”

จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ จึงครอบงำเดชของพญานาคที่ดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง ด้วยเดชของตนได้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

{ต่อไปนี้เป็นอีกคาถาหนึ่งซึ่งใจความซ้ำกับท่อนบน เข้าใจว่าท่านเรียบเรียงมาไว้จาก ๒ แหล่ง ด้วยว่า ๒ คาถานี้ คล้ายกันก็จริง แต่ก็มีเนื้อหาที่จะเติมเต็มความเข้าใจของผู้ศึกษาพระธรรมได้}

[๓๙] ที่แม่น้ำเนรัญชรา พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสป ว่าดังนี้ “ดูกร กัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักวันหนึ่ง”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป “ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ข้าพเจ้าหวังความสำราญจึงห้ามท่านว่า ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาค ดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง อย่าเลย มันจะทำให้ท่านลำบาก”

พระผู้มีพระภาค “ลางที พญานาคนั้นจะไม่ทำให้เราลำบาก ดูกร กัสสป เอาเถิด ท่านจงอนุญาตโรงบูชาเพลิง”

พระผู้มีพระภาคทรงทราบอุรุเวลกัสสปนั้นว่าอนุญาตให้แล้ว ไม่ทรงครั่นคร้าม ปราศจากความกลัว เสด็จเข้าไป พญานาคเห็นพระผู้มีพระภาคผู้แสวงคุณความดีเสด็จเข้าไปแล้ว ไม่พอใจ จึงบังหวนควันขึ้น ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ประเสริฐ มีพระทัยดี มีพระทัยไม่ขัดเคือง ทรงบังหวนควันขึ้นในที่นั้น แต่พญานาคทนความลบหลู่ไม่ได้จึงพ่นไฟสู้ ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ประเสริฐ ทรงฉลาดในกสิณสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์ ได้ทรงบันดาลไฟต้านทานไว้ในที่นั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้นแล้ว โรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิง พวกชฎิลกล่าวกันว่า “ชาวเรา พระสมณะรูปงามคงถูกพญานาคเบียดเบียนแน่”

ครั้นราตรีผ่านไป เปลวไฟของพญานาคไม่ปรากฏ แต่เปลวไฟสีต่างๆ ของพระผู้มีพระภาคผู้ทรงฤทธิ์ยังสถิตอยู่ พระรัศมีสีต่างๆ คือสีเขียว สีแดง สีหงสบาท สีเหลือง สีแก้วผลึก ปรากฏที่พระกายพระอังคีรส

พระพุทธองค์ทรงขดพญานาคไว้ในบาตรแล้ว ทรงแสดงแก่พราหมณ์ว่า “ดูกร กัสสป นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว”

ครั้งนั้นชฎิลอุรุเวลกัสสปเลื่อมใสยิ่งนัก เพราะอิทธิปาฏิหารย์นี้ของพระผู้มีพระภาค ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่มหาสมณะ นิมนต์อยู่ในที่นี้แหละ ข้าพเจ้าจักบำรุงท่านด้วยภัตตาหารประจำ”

ปาฏิหาริย์ที่ ๑ จบ


ปาฏิหาริย์ที่ ๒

[๔๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากอาศรมของชฎิลอุรุเวลกัสสป ครั้งนั้นท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสวแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ได้ยืนเฝ้าอยู่ทั้ง ๔ ทิศ ดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น

ต่อมาชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยผ่านราตรีนั้น ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว พวกนั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว มีรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปหาท่าน ครั้นถึงแล้ว อภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ทั้ง ๔ ทิศ ดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกร กัสสป พวกนั้นคือท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม”

ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปแล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล

ปาฏิหาริย์ที่ ๒ จบ


ปาฏิหาริย์ที่ ๓

[๔๑] ครั้งนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพ เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน

ต่อมาชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยผ่านราตรีนั้น ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว ผู้นั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาท่าน ครั้นถึงแล้ว อภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกร กัสสป ผู้นั้น คือท้าวสักกะจอมทวยเทพ เข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม”

ครั้งนั้นชฎิลอุรุกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวสักกะจอมทวยเทพเข้ามาหาเพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปแล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล

ปาฏิหาริย์ที่ ๓ จบ


ปาฏิหาริย์ที่ ๔

[๔๒] ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน ครั้นล่วงราตรีนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว ผู้นั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสนฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาท่าน ครั้นถึงแล้วอภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกร กัสสป ผู้นั้นคือท้าวสหัมบดีพรหม เข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม”

ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล

ปาฏิหาริย์ที่ ๔ จบ


ปาฏิหาริย์ที่ ๕

[๔๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่ และประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้น ถือของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมากบ่ายหน้ามุ่งไปหา จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า “บัดนี้เราได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่ และประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้นได้นำของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมากบ่ายหน้ามุ่งมาหา ถ้าพระมหาสมณะจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ในหมู่มหาชน ลาภสักการะจักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะ ลาภสักการะของเราจักเสื่อม โอ ทำไฉนวันพรุ่งนี้ พระมหาสมณะจึงจะไม่มาฉัน

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของชฎิลอุรุเวลกัสสปด้วยพระทัยแล้ว เสด็จไปอุตตรกุรุทวีป ทรงนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้น แล้วเสวยที่ริมสระอโนดาต ประทับกลางวันอยู่ ณ ที่นั้นแหละ

ครั้นล่วงราตรีนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว เพราะเหตุไรหนอ วานนี้ท่านจึงไม่มา เป็นความจริง พวกข้าพเจ้าระลึกถึงท่านว่า เพราะเหตุไรหนอ พระมหาสมณะจึงไม่มา แต่ส่วนแห่งขาทนียาหาร ข้าพเจ้าได้จัดไว้เพื่อท่าน”

พระผู้มีพระภาคตรัสย้อนถามว่า “ดูกร กัสสป ท่านได้ดำริอย่างนี้มิใช่หรือว่า บัดนี้เราได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่ และประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้นได้นำของเคี้ยวและของบริโภคเป็นอันมากบ่ายหน้ามุ่งมาหา ถ้าพระมหาสมณะจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ในหมู่มหาชน ลาภสักการะจักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะ ลาภสักการะของเราจักเสื่อม โอ ทำไฉน วันพรุ่งนี้ พระมหาสมณะจึงจะไม่มาฉัน

ดูกร กัสสป เรานั้นแลทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านด้วยใจของเรา จึงไปอุตตรกุรุทวีป นำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้นมาฉันที่ริมสระอโนดาตแล้ว ได้พักกลางวันอยู่ ณ ที่นั้นแหละ”

ทีนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ จึงได้ทราบความคิดนึกแม้ด้วยใจได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล

ปาฏิหาริย์ที่ ๕ จบ


ผ้าบังสุกุล

[๔๔] ก็โดยสมัยนั้น ผ้าบังสุกุลบังเกิดแก่พระผู้มีพระภาค จึงพระองค์ได้ทรงพระดำริว่า “เราจะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ” ลำดับนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์ จึงขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า “พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดซักผ้าบังสุกุลในสระนี้” ที่นั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า “เราจะพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ” ลำดับนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางพลางทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงขยำผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้” ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า “เราจะพึงพาดผ้าบังสุกุลไว้ ณ ที่ไหนหนอ” ครั้งนั้นเทพยดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบกทราบพระดำริในพระหทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตน จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมา พลางกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงพาดผ้าบังสุกุลไว้ที่กิ่งกุ่มนี้” ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า “เราจะผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ” ครั้งนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงทราบพระดำริในพระหทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ได้ยกแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้ พลางกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้”

หลังจากนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยล่วงราตรีนั้น ครั้นถึงแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว เพราะเหตุไรหนอ มหาสมณะ เมื่อก่อนสระนี้ไม่มีที่นี้ เดี๋ยวนี้มีสระอยู่ที่นี้ เมื่อก่อนศิลาเหล่านี้ไม่มีวางอยู่ ใครยกศิลาเหล่านี้มาวางไว้ เมื่อก่อนกิ่งกุ่มบกต้นนี้ไม่น้อมลง เดี๋ยวนี้กิ่งนั้นน้อมลง”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกร กัสสป ผ้าบังสุกุลบังเกิดแก่เรา ณ ที่นี้ เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ ครั้งนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงทราบความดำริในจิตของเราด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว จึงขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ แล้วตรัสบอกแก่เราว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงซักผ้าบังสุกุลในสระนี้ สระนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ ได้ขุดแล้วด้วยมือ

ดูกร กัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ ครั้งนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทราบความดำริในจิตของเราด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ได้ทรงยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้ โดยทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงขยำผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้ ศิลาแผ่นนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ยกมาวางไว้

ดูกร กัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงพาดผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ ครั้งนั้นเทพดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก ทราบความดำริในจิตของเราด้วยใจของตนแล้ว จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมาโดยทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงพาดผ้าบังสุกุลไว้บนกิ่งกุ่มนี้ ต้นกุ่มบกนี้นั้นประหนึ่งจะกราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงนำพระหัตถ์มา แล้วน้อมลง

ดูกร กัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ ครั้งนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงทราบความดำริแห่งจิตของเราด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้ โดยทูลว่า พระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้ ศิลาแผ่นนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ยกมาวางไว้”

ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวสักกะจอมทวยเทพได้ทำการช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล

ผ้าบังสุกุล จบ


ปาฏิหาริย์เก็บผลหว้าเป็นต้น

[๔๕] ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วจึงกราบทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกร กัสสป ท่านไปเถิด เราจะตามไป” พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปแล้ว ทรงเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป แล้วเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน

ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงแล้ว ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่ท่านยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน”

พระผู้มีพระภาค “ดูกร กัสสป เราส่งท่านไปแล้ว ได้เก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงนี้ก่อน ดูกร กัสสป ผลหว้านี้แล สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส ถ้าท่านต้องการ เชิญบริโภคเถิด”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป “อย่าเลย มหาสมณะ ท่านนั่นแหละเก็บผลไม้นี้มา ท่านนั่นแหละจงฉันผลไม้นี้เถิด”

ลำดับนั้นชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้ว ยังเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปแล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปแล้ว ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล


ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วจึงทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว”

พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปด้วยพระดำรัสว่า “ดูกร กัสสป ท่านไปเถิด เราจักตามไป” พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปแล้ว ทรงเก็บผลมะม่วงในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน

ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงแล้ว ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่ท่านยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน”

พระผู้มีพระภาค “ดูกร กัสสป เราส่งท่านไปแล้ว ได้เก็บผลมะม่วงในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงนี้ก่อน ดูกร กัสสป ผลมะม่วงนี้แล สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส ถ้าท่านต้องการ เชิญบริโภคเถิด”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป “อย่าเลย มหาสมณะ ท่านนั่นแหละเก็บผลไม้นี้มา ท่านนั่นแหละจงฉันผลไม้นี้เถิด”

ลำดับนั้นชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้ว ยังเก็บผลมะม่วงในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปแล้ว ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล


ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วจึงทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว”

พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปด้วยพระดำรัสว่า “ดูกร กัสสป ท่านไปเถิด เราจักตามไป” พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปแล้ว ทรงเก็บผลมะขามป้อมในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน

ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงแล้ว ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่ท่านยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน”

พระผู้มีพระภาค “ดูกร กัสสป เราส่งท่านไปแล้ว ได้เก็บผลมะขามป้อมในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงนี้ก่อน ดูกร กัสสป ผลมะขามป้อมนี้แล สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส ถ้าท่านต้องการ เชิญบริโภคเถิด”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป “อย่าเลย มหาสมณะ ท่านนั่นแหละเก็บผลไม้นี้มา ท่านนั่นแหละจงฉันผลไม้นี้เถิด”

ลำดับนั้นชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้ว ยังเก็บผลมะขามป้อมในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปแล้ว ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล


ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วจึงทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว”

พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปด้วยพระดำรัสว่า “ดูกร กัสสป ท่านไปเถิด เราจักตามไป” พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปแล้ว ทรงเก็บผลสมอในที่ไม่ไกลต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน

ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงแล้ว ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่ท่านยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน”

พระผู้มีพระภาค “ดูกร กัสสป เราส่งท่านไปแล้ว ได้เก็บผลสมอในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงนี้ก่อน ดูกร กัสสป ผลสมอนี้แล สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส ถ้าท่านต้องการ เชิญบริโภคเถิด”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป “อย่าเลย มหาสมณะ ท่านนั่นแหละเก็บผลไม้นี้มา ท่านนั่นแหละจงฉันผลไม้นี้เถิด”

ลำดับนั้นชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้ว ยังเก็บผลสมอในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปแล้ว ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล


ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วจึงทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า “ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว”

พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปด้วยพระดำรัสว่า “ดูกร กัสสป ท่านไปเถิด เราจักตามไป” พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปแล้ว เสด็จไปสู่ภพดาวดึงส์ ทรงเก็บดอกปาริฉัตตกะแล้วมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน

ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิง ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่ท่านยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกร กัสสป เราส่งท่านแล้ว ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ เก็บดอกปาริฉัตตกะแล้ว มานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน ดูกร กัสสป ดอกปาริฉัตตกะนี้แล สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น”

ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้วยังไปสู่ภพดาวดึงส์ เก็บดอกปาริฉัตตกะแล้วมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”


ปาฏิหาริย์ผ่าฟืน

[๔๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นปรารถนาจะบำเรอไฟ แต่ไม่อาจจะฝ่าฟืนได้ จึงชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า “ข้อที่พวกเราไม่อาจผ่าฟืนได้นั้น คงเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า “ดูกร กัสสป พวกชฎิลจงผ่าฟืนเถิด”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า “ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลจงผ่าฟืนกัน”

ชฎิลทั้งหลายได้ผ่าฟืน ๕๐๐ ท่อน คราวเดียวเท่านั้น

ครั้งนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้พวกชฎิลผ่าฟืนได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”


ปาฏิหาริย์ก่อไฟ

[๔๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นปรารถนาจะบำเรอไฟ แต่ไม่อาจจะก่อไฟให้ลุกได้ จึงชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า “ข้อที่พวกเราไม่อาจจะก่อไฟให้ลุกขึ้นได้นั้น คงเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า “ดูกร กัสสป พวกชฎิลจงก่อไฟให้ลุกเถิด”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า “ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลจงก่อไฟให้ลุก”

ไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ได้ลุกขึ้นคราวเดียวกันเทียว

ลำดับนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสป ได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้ไฟลุกขึ้นได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”


ปาฏิหาริย์ดับไฟ

[๔๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นบำเรอไฟกันแล้วไม่อาจดับไฟได้ จึงได้คิดต้องกันว่า “ข้อที่พวกเราไม่อาจดับไฟได้นั้น คงเป็นอิทธานุภาพของพระสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า “ดูกร กัสสป พวกชฎิลจงดับไฟเถิด”

ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า “ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลจงดับไฟกัน”

ไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ได้ดับคราวเดียวกันเทียว

ครั้งนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้พวกชฎิลดับไฟได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”


ปาฏิหาริย์กองไฟ

[๔๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นพากันดำลงบ้าง ผุดขึ้นบ้าง ทั้งดำทั้งผุดบ้าง ในแม่น้ำเนรัญชรา ในราตรีหนาวเหมันตฤดู ระหว่างท้ายเดือน ๓ ต้นเดือน ๔ ในสมัยน้ำค้างตก ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงนิรมิตกองไฟไว้ ๕๐๐ กอง สำหรับให้ชฎิลเหล่านั้นขึ้นจากน้ำแล้วจะได้ผิง

จึงชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า “ข้อที่กองไฟเหล่านี้ถูกนิรมิตไว้นั้น คงต้องเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะ ไม่ต้องสงสัยเลย”

ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับนิรมิตกองไฟได้มากมายถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”


ปาฏิหาริย์น้ำท่วม

[๕๐] ก็โดยสมัยนั้นแล เมฆใหญ่ในสมัยที่มิใช่ฤดูกาล ยังฝนให้ตกแล้ว ห้วงน้ำใหญ่ได้ไหลนองไป ประเทศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่นั้นถูกน้ำท่วม ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า “ไฉนหนอ เราพึงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ แล้วจงกรมอยู่บนภาคพื้น อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง” ครั้นแล้วจึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้วเสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้น อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง

ต่อมาชฎิลอุรุเวลกัสสปกล่าวว่า “พระมหาสมณะอย่าได้ถูกน้ำพัดไปเสียเลย ดังนี้ แล้วพร้อมด้วยชฎิลมากด้วยกันได้เอาเรือไปสู่ประเทศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้ทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้ว เสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้นอันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ท่านยังอยู่ที่นี่ดอกหรือ”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ถูกละ กัสสป เรายังอยู่ที่นี่” ดังนี้แล้วเสด็จขึ้นสู่เวหาส ปรากฏอยู่ที่เรือ

จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับบันดาลไม่ให้น้ำไหลไปได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”


ทูลขอบรรพชาและอุปสมบท

[๕๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า “โมฆบุรุษนี้ ได้มีความคิดอย่างนี้มานานแล้วว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่ ถ้ากระไรเราพึงให้ชฎิลนี้สลดใจ” แล้วจึงตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า “ดูกร กัสสป ท่านไม่ใช่พระอรหันต์แน่ ทั้งยังไม่พบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ แม้ปฏิปทาของท่านที่จะเป็นเหตุให้เป็นพระอรหันต์ หรือพบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มี”

ทีนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ขอข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกร กัสสป ท่านเป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธานของชฎิล ๕๐๐ คน ท่านจงบอกกล่าวพวกนั้นก่อน พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจ”

ลำดับนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปหาชฎิลเหล่านั้น ครั้นแล้วได้แจ้งความประสงค์ต่อชฎิลเหล่านั้นว่า ผู้เจริญทั้งหลาย เราปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงทำตามที่เข้าใจ”

ชฎิลพวกนั้นกราบเรียนว่า “พวกข้าพเจ้าเลื่อมใสยิ่งในพระมหาสมณะมานานแล้ว ขอรับ ถ้าท่านอาจารย์จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะเหมือนกัน”

ต่อมา ชฎิลเหล่านั้นได้ลอยผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงในน้ำแล้ว พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้ทูลขอบรรพชา อุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พวกเธอจงเป็นภิกษุ มาเถิด” ดังนี้แล้วได้ตรัสต่อไปว่า

ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เถิด”

พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น

[๕๒] ชฎิลนทีกัสสป ได้เห็นผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิง ลอยน้ำมา ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า “อุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายเราเลย” จึงส่งชฎิลไปด้วยคำสั่งว่า “พวกเธอจงไป จงรู้พี่ชายของเรา” ดังนี้แล้ว ทั้งตนเองกับชฎิล ๓๐๐ ได้เข้าไปหาท่านพระอุรุเวลกัสสป แล้วเรียนถามว่า “ข้าแต่พี่กัสสป พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ”

พระอุรุเวลกัสสปตอบว่า “แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ”

หลังจากนั้น ชฎิลเหล่านั้นลอยผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ แล้วพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้ทูลขอบรรพชา อุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ขอพวกข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พวกเธอจงเป็นภิกษุ มาเถิด” ดังนี้แล้วได้ตรัสต่อไปว่า

ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เถิด”

พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น

[๕๓] ชฎิลคยากัสสป ได้เห็นผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิง ลอยน้ำมา ครั้นแล้วได้มีความดำริว่าอุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายทั้งสองของเราเลย แล้วส่งชฎิลไปด้วยคำสั่งว่า “พวกเธอจงไป จงรู้พี่ชายทั้งสองของเรา” ดังนี้แล้ว ทั้งตนเองกับชฎิล ๒๐๐ คน ได้เข้าไปหาท่านพระอุรุเวลกัสสป แล้วเรียนถามว่า “ข้าแต่พี่กัสสป พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ”

พระอุรุเวลกัสสปตอบว่า “แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ”

หลังจากนั้น ชฎิลเหล่านั้นลอยผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ แล้วพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า “ขอพวกข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พวกเธอจงเป็นภิกษุ มาเถิด” ดังนี้แล้วได้ตรัสต่อไปว่า

ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เถิด”

พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น

[๕๔] พวกชฎิลนั้น ผ่าฟืน ๕๐๐ ท่อนไม่ได้ แล้วผ่าได้ ก่อไฟไม่ติด แล้วก่อไฟติดขึ้นได้ ดับไฟไม่ดับ แล้วดับได้ ด้วยการเพ่งอธิษฐานของพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงนิรมิตกองไฟไว้ ๕๐๐ กอง ปาฏิหาริย์ ๓๕๐๐ วิธี ย่อมมีโดยนัยนี้


อาทิตตปริยายสูตร

[๕๕] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลคยาสีสะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๑๐๐๐ รูป ล้วนเป็นปุราณชฎิล ได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยานั้น พร้อมด้วยภิกษุ ๑๐๐๐ รูป ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดังนี้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน

ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน

{จักษุ / ตา}

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

จักษุ เป็นของร้อน

รูปทั้งหลาย เป็นของร้อน

วิญญาณอาศัยจักษุ เป็นของร้อน

สัมผัสอาศัยจักษุ เป็นของร้อน

ความเสวยอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น ก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร

เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ

ร้อน เพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย

ร้อน เพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

{โสตะ / หู}

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

โสต เป็นของร้อน

เสียงทั้งหลาย เป็นของร้อน

วิญญาณอาศัยโสตะ เป็นของร้อน

สัมผัสอาศัยโสตะ เป็นของร้อน

ความเสวยอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น ก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร

เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ

ร้อน เพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย

ร้อน เพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

{ฆานะ / จมูก}

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

ฆานะ เป็นของร้อน

กลิ่นทั้งหลาย เป็นของร้อน

วิญญาณอาศัยฆานะ เป็นของร้อน

สัมผัสอาศัยฆาน เป็นของร้อน

ความเสวยอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น ก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร

เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ

ร้อน เพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย

ร้อน เพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

{ชิวหา / ลิ้น}

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

ชิวหา เป็นของร้อน

รสทั้งหลาย เป็นของร้อน

วิญญาณอาศัยชิวหะ เป็นของร้อน

สัมผัสอาศัยชิวห เป็นของร้อน

ความเสวยอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น ก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร

เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ

ร้อน เพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย

ร้อน เพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

{กาย}

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

กาย เป็นของร้อน

โผฏฐัพพะทั้งหลาย เป็นของร้อน

วิญญาณอาศัยกาย เป็นของร้อน

สัมผัสอาศัยกาย เป็นของร้อน

ความเสวยอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น ก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร

เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ

ร้อน เพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย

ร้อน เพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

{มนะ / ใจ}

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

มนะ เป็นของร้อน

ธรรมทั้งหลาย เป็นของร้อน

วิญญาณอาศัยมนะ เป็นของร้อน

สัมผัสอาศัยมนะ เป็นของร้อน

ความเสวยอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร

เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ

ร้อน เพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย

ร้อน เพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยโสตะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยโสตะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย

เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด

เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น

เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว

อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ ไม่มี”

ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑๐๐๐ รูปนั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น

อาทิตตปริยายสูตร จบ

อุรุเวลปาฏิหาริย์ ตติยภาณวาร จบ