พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕
(พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗)
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ–ธรรมบท–อุทาน–อิติวุตตกะ–สุตตนิบาต
คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔
[๓๔] “ตัณหา ย่อมเจริญแก่มนุษย์ผู้ประพฤติประมาท ดุจเคลือเถาย่านทราย ฉะนั้น
บุคคลนั้นย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อยใหญ่ดังวานร ปรารถนาผลไม้ เร่ร่อนไปในป่า ฉะนั้น
ตัณหานี้ ลามก ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆในโลก ย่อมครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลาย ย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดุจหญ้าคมบาง อันฝนตกเชยแล้ว งอกงามอยู่ในป่า ฉะนั้น
บุคคลใดแล ย่อมครอบงำตัณหาอันลามก ล่วงไปได้โดยยากในโลก ความโศกทั้งหลาย ย่อมตกไปจากบุคคลนั้น เหมือนหยาดน้ำตกไปจากใบบัว ฉะนั้น
เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวกะท่านทั้งหลายผู้มาประชุมกันในที่นี้ ท่านทั้งหลายจงขุดรากแห่งตัณหาเสียดุจบุรุษต้องการแฝก ขุดแฝก ฉะนั้น
มารอย่าระรานท่านทั้งหลายบ่อยๆ ดุจกระแสน้ำระรานไม้อ้อ ฉะนั้น
ต้นไม้ เมื่อรากหาอันตรายมิได้ มั่นคงอยู่ แม้ถูกตัดแล้วก็กลับงอกขึ้นได้ ฉันใด ทุกข์นี้ เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อตัณหาขึ้นไม่ได้แล้ว ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ แม้ฉันนั้น
{หมายความว่าตราบใดที่ตัณหายังไม่สิ้น คนๆนั้นย่อมได้รับทุกข์ร่ำไป}
ความดำริทั้งหลาย ที่อาศัยราคะ เป็นของใหญ่ ย่อมนำบุคคลผู้มีตัณหาดังกระแส ๓๖ อันไหลไปในอารมณ์ ซึ่งทำให้ใจเอิบอาบ เป็นของกล้า ไปสู่ทิฐิชั่ว
กระแสตัณหาย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ตัณหาดังเครือเถาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมตั้งอยู่ ก็ท่านทั้งหลายเห็นตัณหาดังเครือเถานั้นอันเกิดแล้ว จงตัดรากเสียด้วยปัญญา
โสมนัสที่ซ่านไปแล้ว และที่เป็นไปกับด้วยความเยื่อใย ย่อมมีแก่สัตว์ สัตว์เหล่านั้นอาศัยความสำราญ แสวงหาสุข นรชนเหล่านั้นแล เป็นผู้เข้าถึงชาติและชรา
หมู่สัตว์ถูกตัณหาอันทำความสะดุ้งห้อมล้อมแล้ว ย่อมกระสับกระส่าย ดุจกระต่ายติดแร้ว กระสับกระส่ายอยู่ ฉะนั้น
สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ข้องแล้วด้วยสังโยชน์ และธรรมเป็นเครื่องข้อง ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ สิ้นกาลนาน
หมู่สัตว์ถูกตัณหาอันทำความสะดุ้งห้อมล้อมแล้ว ย่อมกระสับกระส่าย ดุจกระต่ายติดแร้ว กระสับกระส่ายอยู่ ฉะนั้น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุเมื่อหวังวิราคะธรรมแก่ตน พึงบรรเทาตัณหาที่ทำความสะดุ้งเสีย
ท่านทั้งหลายจงเห็นบุคคลผู้ไม่มีกิเลส เพียงดังหมู่ไม้ในป่า มีใจน้อมไปแล้วในความเพียร ดุจป่า พ้นแล้วจากตัณหาเพียงดังป่า ยังแล่นเข้าหาป่านั่นแล
บุคคลนี้พ้นแล้วจากเครื่องผูก ยังแล่นเข้าหาเครื่องผูก
นักปราชญ์ทั้งหลาย หากล่าวเครื่องผูกซึ่งเกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้ และเกิดแต่หญ้าปล้อง
ว่ามั่นไม่
สัตว์ผู้กำหนัดแล้ว กำหนัดนักแล้ว ในแก้วมณี และแก้วกุณฑลทั้งหลาย และความห่วงใยในบุตรและภริยา นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวเครื่องผูกอันหน่วงลง อันหย่อน อันบุคคลเปลื้องได้โดยยากนั้น
ว่ามั่น
นักปราชญ์ทั้งหลายตัดเครื่องผูกแม้นั้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ละกามสุขแล้ว ย่อมเว้นรอบ
สัตว์เหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว สัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไปตามกระแสตัณหา ดุจแมลงมุม แล่นไปตามใยที่ตนทำเอง ฉะนั้น {คล้ายกับว่าทุกข์ทั้งหลายนั้น สัตว์เป็นผู้ก่อให้แก่ตัวเอง}
นักปราชญ์ทั้งหลาย ตัดเครื่องผูกแม้นั้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ย่อมละทุกข์ทั้งปวงไป
ท่านจงปล่อยความอาลัยในขันธ์ที่เป็นอดีตเสีย จงปล่อยความอาลัยในขันธ์ที่เป็นอนาคตเสีย จงปล่อยความอาลัยในขันธ์ที่เป็นปัจจุบันเสีย จักเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ มีใจพ้นวิเศษแล้วในสังขตธรรมทั้งปวง จักไม่เข้าถึงชาติและชราอีก
ตัณหาย่อมเจริญยิ่งแก่ผู้ที่ถูกวิตกย่ำยี ผู้มีราคะกล้า มีปกติเห็นอารมณ์ว่างาม ผู้นั้นแล ย่อมทำเครื่องผูกให้มั่น
ส่วนผู้ใดยินดีแล้วในฌาน เป็นที่สงบวิตก มีสติทุกเมื่อ เจริญอสุภะอยู่ ผู้นั้นแล จักทำตัณหาให้สิ้นไป ผู้นั้นจะตัดเครื่องผูกแห่งมารได้
ภิกษุผู้ถึงความสำเร็จแล้ว {พระอรหันต์} ไม่มีความสะดุ้ง ปราศจากตัณหา ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน
ตัดลูกศรอันยังสัตว์ให้ไปสู่ภพได้แล้ว อัตภาพของภิกษุนี้ มีในที่สุด
ภิกษุปราศจากตัณหา ไม่ยึดมั่น ฉลาดในนิรุติ และบท รู้จักความประชุมเบื้องต้น และเบื้องปลายแห่งอักษรทั้งหลาย ภิกษุนั้นแลมีสรีระในที่สุด เรากล่าวว่ามีปัญญามาก เป็นมหาบุรุษ
เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้แจ้งธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฐิไม่ฉาบทาแล้วในธรรมทั้งปวง ละธรรมได้ทุกอย่าง พ้นวิเศษแล้วเพราะความสิ้นตัณหา รู้ยิ่งเอง พึงแสดงใครเล่า (ว่าเป็นอุปัชฌาย์หรืออาจารย์)
การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชำนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรม ย่อมชำนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ย่อมชำนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ย่อมชำนะทุกข์ทั้งปวง
โภคทรัพย์ทั้งหลาย ย่อมฆ่าคนมีปัญญาทราม แต่หาฆ่าผู้ที่แสวงหาฝั่งไม่
คนมีปัญญาทราม ย่อมฆ่าตนได้ เหมือนบุคคลฆ่าผู้อื่นเพราะความอยากได้โภคทรัพย์ ฉะนั้น
นาทั้งหลาย มีหญ้าเป็นโทษ หมู่สัตว์มีราคะเป็นโทษ เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมมีผลมาก
นาทั้งหลาย มีหญ้าเป็นโทษ หมู่สัตว์นี้มีโทสะเป็นโทษ เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากโทสะ ย่อมมีผลมาก
นาทั้งหลาย มีหญ้าเป็นโทษ หมู่สัตว์นี้มีโมหะเป็นโทษ เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากโมหะ ย่อมมีผลมาก
นาทั้งหลาย มีหญ้าเป็นโทษ หมู่สัตว์นี้มีความอิจฉาเป็นโทษ เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากความอิจฉา ย่อมมีผลมาก”
จบตัณหาวรรคที่ ๒๔